learning about
เพิ่มข้อความ
HOME PAGE
เรื่องระบบหายใจ
แบบทดสอบก่อนเรียน
ความหมายของระบบหายใจ
>
ระบบการหายใจ
กลไกการทำงานของระบบหายใจ
อวัยวะเกี่ยวกับการหายใจ
กระบวนการทำงานของระบบหายใจ
การดำรงประสิทธิภาพการทำงานของระบบหาย
โรคของระบบการหายใจ และองค์ประกอบอื่น ๆ&
เรื่องระบบหมุนเวียนโลหิต
แบบทดสอบก่อนเรียน
อวัยวะสำคัญในระบบไหลเวียนโลหิต
อวัยวะภายในกลไกลมนุษย์ระบบไหลเวียนโล
แบบทดสอบหลังเรียน
เรื่องระบบหายใจ
เรื่องระบบไหลเวียนโลหิต
ประวัติผู้จัดทำ
เว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง
เรื่องระบบหายใจ
เรื่องระบบไหลเวียนโลหิต
ระบบหมุนเวียนโลหิต
อาหารที่เรากินเข้าไปเมื่อผ่านกระบวนการย่อยอาหารจะได้อนุภาคที่เล็กที่สุดซึ่งสามารถแพร่ผ่านเข้าสู่ผนังของลำไส้เล็กได้ จากนั้นจะแพร่เข้าสู่หลอดเลือด แล้วถูกนําไปยังส่วนต่างๆของร่างกายโดนระบบหมุนเวียนของเลือด เชนเดียวกับกาซออกซิเจนที่เมื่อถูกนำเข้าสู่ร่างกายแล้วจะถูกนําไปยังเซลล์ต่างๆของร่างกายโดยเม็ดเลือดแดง และก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดจากกระบวนการหายใจ จะถูกลําเลียงออกจากเซลล์ทางพลาสมา ซึ่งการหมุนเวียนของเลือดและการหมุนเวียนของก๊าซจะเกิดควบคู่กันไป
ในระบบหมุนเวียนเลือดประกอบด้วย เลือด หลอดเลือด และ หัวใจ
หัวใจ
หัวใจของมนุษย์มีขนาดเท่ากับกำปั้นที่กำแน่นของผู้ที่เป็นเจ้าของ
หัวใจ (heart) ทําหน้าที่สูบฉีดเลือดให้ไหลไปตามหลอดเลือดไปยังส่วนต่างๆของร่างกาย แล้วไหลกลับคืนสูหัวใจ หัวใจประกอบด้วยกล้าเนื้อพิเศษที่เรียกว่า กล้ามเนื้อหัวใจ แบ่งห้องออกเป็นห้องบน (atrium) 2 ห้อง และห้องล่าง (ventricle) 2ห้อง หัวใจห้องบนจะเล็กกว่าห้องล่าง ระหว่าง หัวใจห้องบนและห้องล่างจะมีลิ้นกั้นเพื่อป้องกันไม่ให้เลือดไหลย้อนกลับ หัวใจห้องล่างซ้ายจะมี ผนังหนาที่สุด เพราะหัวใจห้องล่างซ้ายมีหน้าที่สูบฉีดเลือดไปยังส่วนต่างๆของร่างกาย
ระบบหมุนเวียนของเลือดในคน
ในร่างกายมนุษย์มีหัวใจทำหน้าที่สูบฉีดโลหิตให้ไหลเวียนอยู่ในเส้นเลือด การสูบฉีดโลหิตของหัวใจ ทำให้เกิดแรงดันให้เลือดไหลไปตามเส้นเลือดไปยังส่วนต่างๆของร่างกาย และไหลกลับคืนสู่หัวใจ โดยหัวใจของคนเราตั้อยู่ในทรวงอกระหว่างปอดทั้งสองข้างค่อนมาทาด้านซ้ายชิดผนังทรวงอก แบ่งออกเป็น 4 ห้อง ห้องบนสองห้อง มีผนังบาง เรียกว่า เอเทรียม ( atrium ) ส่วนสองห้องล่างมีขนาดใหญ่กว่าและผนังหนา เรียกว่า เวนทริเคิล ( ventricle ) ระหว่างห้องบนกับห้องล่างทั้งสองซีกจะมีลิ้นหัวใจ ( value ) คอยเปิด- ปิด เพื่อกันไม่ให้เลือดไหลย้อนกลับ
** หัวใจของคนเราประกอบไปด้วยกล้ามเนื้อที่มิได้อยู่ภายใต้อำนาจบังคับของสมอง **
** หัวใจของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม มี 4 ห้อง ของสัตว์ครึ่งบกครึ่น้ำมี3 ห้อง ( ยกเว้นจระเข้ มี 4 ห้อง ) หัวใจปลามี 2 ห้อง หัวใจของสัตว์ปีก มี 4 ห้อง **
ในร่างกายของมนุษย์ ระบบการหมุนเวียนของเลือดประกอบด้วยหัวใจเป็นอวัยวะสำคัญ ทำหน้าที่สูบฉีดเลือดไปยังส่วนต่างๆของร่างกาย โดยมีเส้นเลือดเป็นท่อลำเลียงเลือด ดังนั้นระบบหมุนเวียนเลือดของคนเราจึงประกอบด้วยส่วนสำคัญ 3 ส่วน คือ เลือด เส้นเลือด และ หัวใจ
1.
เลือด ( blood )
ในร่างกายของคนเรามีเลือดอยู่ประมาณ 6,000 ลูกบาศก์เซนติเมตร เลือดประกอบไปด้วยส่วนที่เป็นของเหลว คือ น้ำเลือด ( plasma ) กับส่วนที่เป็นของแข็ง คือ เซลล์เม็ดเลือดแดง เซลล์เม็ดเลือดขาว และ เกล็ดเลือด
1.1 ส่วนที่เป็นของหลว
คือ น้ำเลือดหรือพลาสมา ประกอบด้วยน้ำและสารต่างๆ ซึ่งได้แก่ สารอาหารที่ถูกย่อยแล้ว รวมทั้งวิตามิน เกลือแร่ ฮอร์โมนและสารอื่นๆที่ละลายน้ำได้ สารเหล่านี้จึงอยู่ในรูปสารละลาย มีประมาณ 50 % ของเลือดทั้งหมด น้ำเลือดทำหน้าที่ลำเลียงอาหารที่ถูกดูดซึมจากลำไส้เล็กไปสู่ส่วนต่างๆของเซลล์ทั่วร่างกายและลำเลียงของเสียที่เป็นของเหลวจากเซลล์ เช่น ยูเรีย มาสู่ไต ซึ่งไตจะสกัดเอาสารยูเรียออกจากเลือดแล้วขับถ่ายออกมาในรูปของปัสสาวะ
1.2 ส่วนที่เป็นของแข็ง
มีอยู่ประมาณ 50% ของเลือดทั้งหมด ประกอบด้วย
- เซลล์เม็ดเลือดแดง ในขณะที่ยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่ จะอยู่ในไขกระดูกและมีนิวเคลียส แต่เมื่อเจริญเติบโตเต็มที่จะเข้าไปอยู่ในกระแสเลือดแล้วนิวเคลียสจะหายไป เม็ดเลือดแดงทำหน้าที่ขนส่งแก๊สออกซิเจน จากปอดไปสู่เซลล์ทั่ร่างกายและขนส่งแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นของเสียที่เกิดจากการสลายอาหารจากเซลล์มาสู่ถุงลมในปอดเพื่อขับถ่ายออกนอกร่างกายทางลมหายใจออก โดยเฉลี่ยเม็ดเลือดแดงจะมีชีวิตอยู่ในกระแสเลือดประมาณ 90- 120 วัน หลังจากนั้นจะถูกส่งไปทำลายที่ตับและม้าม
- เซลล์เม็ดเลือดขาว มีขนาดใหญ่กว่าเซลล์เม็ดเลือดแดง ภายในมีนิวเคลียส ทำหน้าที่ทำลายเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกาย
- เกล็ดเลือด เป็นชิ้นส่วนของเซลล์ที่มีรูปร่างเป็นแผ่นเล็กๆปนอยู่ในน้ำเลือด ไม่มีนิวเคลียส มีหน้าที่ช่วยให้เลือดแข็งตัว เวลาเกิดบาดแผลเล็กๆเกล็ดเลือดจะทำให้เส้นใย ( fibrin ) ปกคลุมบาดแผลทำให้เลือดหยุดไหล เป็นการป้องกันไม่ให้ร่างกายเสียเลือดมากเกินไป เกล็ดเลือดจะมีอายุอยู่ได้ประมาณ 4 วัน
2. เส้นเลือด ( blood vessels )
เส้นเลือดในร่างกายคนแบ่งออกได้ 3 ประเภท คือ
- เส้นเลือดที่นำเลือดออกจากหัวใจ เรียกว่า อาร์เทอรี ( Artery )
- เส้นเลือดที่นำเลือดเข้าสู่หัวใจ เรียกว่า เส้นเวน ( Vein )
- เส้นเลือดฝอย ( Capillaries ) เส้นเลือดอาร์เทอรี เป็นเส้นเลือดที่นำเลือดออกจากหัวใจ มีขนาดต่างๆกัน ขนาดใหญ่คือ เอออร์ตา มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1 นิ้ว และขนาดเล็กมีเส้นผ่านศูนย์กลาประมาณ 0.2 มิลลิเมตร ไม่มีลิ้น เส้นเลือดอาร์เทอรี ประกอบด้วยกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อที่ยืดหยุ่นได้ มีผนังหนา สามารถรับแรงดันเลือด ซึงเป็นแรงดันค่อนข้างสูง อันเป็นผลเนื่องมาจากการบีบตัวของหัวใจห้องล่าซ้าย ความดันของเลือดจะสูงมากในเส้นเลือดอาร์เทอรีใกล้หัวใจ คือ เส้นเลือดแดงใหญ่ที่สุดที่เรียกว่า เอออร์ตา และค่อยๆลดลงตามลำดับเมื่ออยู่ห่างจากหัวใจไปเรื่อยๆจนถึงอวัยะต่างๆดังนั้นการวัดความดันเลือด เส้นเลือดที่เหมาะสำหรับวัดความดันเลือดคือเส้นอาร์เทอรีที่ต้นแขน ผู้ใหญ่อายุ 20 - 30 ปี มีความดันเลือดปกติประมาณ 120/80 มิลลิเมตรปรอท ตัวเลขข้างหน้า ( 120 )หมายถึง ความดันโลหิตขณะหัวใจบีบตัว เรียกว่าความดันซิสโทลิก ( Systolie pressure ) ตัวเลขข้างหลัง( 80 ) หมายถึงความดันดลหิตของหัวใจคลายตัว เรียกว่า ความดันไดแอสโทลิก ( Diastolie pressure )
ที่เรียกว่า การจับชีพจร ซึ่งชีพจร ( pluse ) หมายถึงอัตราการเต้นของหัวใจ จงหวะการหยืดหยุ่นของเส้นเลือดอาร์เทอรีเป็นไปตามจังหวะการเต้นของหัวใจ สำหรับการเต้นของหัวใจปกติประมาณ 72 ครั้งต่อนาที แต่อาจเปลี่ยนแปลงได้ตามลักษณะต่างๆ เช่น เพศ วัย อิริยาบท โรคภัยไข้เจ็บ เป็นต้น
3. หัวใจ ( heart )
หัวใจจะทำหน้าที่สูบฉีดโลหิตไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกาย โดยจะรับเลือดที่มีออกซิเจนสูงจากปอดเข้าทางหัวใจห้องบนซ้ายผ่านต่อมายังหัวใจห้องล่างซ้าย เพื่อส่งออกไปยังอวัยวะต่างๆขอองร่างกายและจะรับเลือดที่มีออกซิเจนน้อยจากส่วนต่างๆของร่างกายกลับเข้าสู่หัวใจทางหัวใจห้องบนขวา และผ่านไปยังหัวใจห้องล่างขวาเพื่อส่งไปยังปอด เลือดที่มีออกซิเจนต่ำจะไปยังปอดเพื่อรับออกซิเจนและกลับเข้าสู่หัวใจอีกครั้งหมุนเวียนตลอดเวลาอย่างเป็นระบบ
หรือกล่าวได้ว่าเลือดดำ ( เลือดที่มีแก๊สออกซิเจนต่ำ )จากส่วนต่างๆ ของร่างกายไหลเข้าหัวใจทางหัวใจห้องบนขวาโดยเลือดจากส่วนบนของร่างกายจะเข้าสู่หัวใจทางเส้นเลือดซุปิเรียเวนาคาวาและเลือดจากส่วนล่างของร่างกายจะเข้าสู่หัวใจห้องบนขวาทางเส้นเลือดอินพีเรียเวนาคาวา จากนั้นหัวใจห้องบนขวาจะหดตัวให้เลือดผ่านลิ้นหัวใจลงสู่หัวใจห้องล่างขวาแล้วหัวใจห้องล่างขวาจะบีบตัวให้เลือดไปเข้าไปในเส้นเลือดพัลโมนารีอาร์เทอรีจากหัวใจไปยังปอด เลือดดำจะผ่านเข้าไปในเส้นเลือดฝอยรอบๆถุงลมปอด แล้วจ่ายคาร์บอนไดออกไซด์ให้กับถุงลมปอดแล้วรับแก๊สออกซิเจนเข้ามาแทนเป็นผลให้เลือดดำกลายเป็นเลือดแดง ( เลือดที่มีแก๊สออกซิเจนสูง ) แล้วไหลออกจากปอดเข้าสู่หัวใจห้องบนซ้ายทางเส้นเลือดพัลโมนารีเวนจากนั้นหัวใจห้องบนซ้ายจะบีบเลือดลงไปที่หัวใจห้องล่างซ้าย เพื่อให้หัวใจห้องล่างซ้ายบีบเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกายต่อไป
ระบบไหลเวียนเลือดของมนุษย์
ระบบหมุนเวียนโลหิตของมนุษย์ประกอบด้วยส่วนต่างๆ คือ
น้ำเลือด (plasma)
น้ำเลือดประกอบด้วย
1. น้ำ
ซึ่งจะทำหน้าที่รักษาระดับปริมาณของเลือดความดันโลหิตให้คงที่ ละลายแร่ธาตุต่างๆ เป็นตัวกลางในการ ลำเลียงสาร ทำให้เซลล์มีความเปียกชื้นอยู่ตลอดเวลา
2. แร่ธาตุ
ทำหน้าที่รักษาระดับของการแพร่ ระดับของ pH รักษาระดับสมดุลระหว่างน้ำเหลือง กับน้ำเลือดในเซลล์
3. พลาสมาโปรตีน (plasma protein)
ทำหน้าที่ รักษาระดับของแรงดันออสโมติกและระดับ pH และยังมีพวกที่ทำหน้าที่เฉพาะ เช่น
- ไฟบริโนเจน (fibrinogen) ทำหน้าที่เกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด
- โพรทอมบิน (prothrombin) ทำหน้าที่เกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด
- อลบูมีน (albumin) ทำหน้าที่ช่วยควบคุมปริมาณของน้ำในส่วนต่างๆ ของร่างกาย
- โกลบููลีน (globulin) ทำหน้าที่ควบคุมระดับ pH ปริมาณน้ำ ลำเลียงแร่ธาตุต่างๆ เป็นแอนติบอดี (antibody)
หัวใจ (heart)
หัวใจเป็นอวัยวะในระบบหมุนเวียนโลหิตที่มีการเปลี่ยนแปลง มาจากเส้นเลือดในขณะที่ร่างกายอยู่ในช่วงเป็นตัวอ่อน มีหน้าที่ในการบีบส่งเลือดไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย อยู่ระหว่างปอดทั้ง 2 ข้างค่อนไปทางปอดด้านซ้าย มีรูปคล้ายดอกบัวตูม ขนาดเท่ากับกำมือของเจ้าของ หรือกว้าง 8 เซนติเมตร ยาว 2 เซนติเมตร หัวใจจะอยู่ในถุงเยื่อหุ้มหัวใจ (pericardium) มีน้ำเลี้ยง (pericardial fluid) หล่อเลี้ยงอยู่
ผนังของหัวใจมีเนื้อเยื่อ 3 ชั้น คือ ชั้นนอก (epicardium) ชั้นกลาง (myocardium) และชั้นใน (endocardium) เนื้อเยื่อชั้นกลางจะหนามาก มีกล้ามเนื้อที่เป็นกล้ามเนื้อพิเศษเรียกว่า กล้ามเนื้อหัวใจ (cardiac muscle)
1. หัวใจของสิ่งมีชีวิต
- หัวใจที่มีลักษณะเป็นหลอดเลือดธรรมดา บีบตัวเป็นจังหวะตลอดเวลา เป็นหัวใจของพวกไส้เดือนดิน พวกปลิง เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า pulsating vessel
- tubular heart หัวใจนี้คล้ายกับ pulsating vessel เป็นหัวใจของพวกกุ้ง ปู หรือพวก arthropod อื่นๆ
- หัวใจที่มีรูปร่างเป็นกระเปาะหรือเรียกว่า ampullar heart เป็นหัวใจของพวกแมลง หมึก สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก สัตว์เลื้อยคลาน
หัวใจที่มีการแบ่งเป็นห้อง คือ ห้องรับเลือดและห้องส่งเลือด เรียกว่า chambered heart มีความสลับซับซ้อนมาก ระหว่างห้องของหัวใจจะมีลิ้นหัวใจปิดเปิดให้เลือดเคลื่อนที่ผ่านไปตามทิศทาง หัวใจแบบนี้แบ่งเป็น 4 ชนิด คือ หัวใจชนิดสองห้อง เป็นหัวใจของพวกปลา หัวใจชนิดสามห้อง เป็นหัวใจของพวกสิ่งมีชีวิตที่มีปอด สัตว์เลื้อยคลาน สัตว์ครึ่งน้ำครึ่งบก (ยกเว้นพวกจระเข้ที่หัวใจเป็นพวก 4 ห้อง แต่ 4 ห้องไม่สมบูรณ์) หัวใจชนิดสี่ห้อง เป็นหัวใจของพวกนก สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม จระเข้
2. การเต้นของหัวใจ (heart beat)
การเต้นของหัวใจเป็นการทำงานเพื่อสูบฉีดให้เลือดดีไหลไปทั่วทุกเซลล์ ทุกเนื้อเยื่อ ทุกอวัยวะของร่างกาย สูบฉีดผลักดันเลือดเสียให้ไปยังอวัยวะที่ทำการแลกเปลี่ยนของเสียและของดีของเลือด
การเต้นของหัวใจจะเต้นเป็นจังหวะที่สม่ำเสมอตลอด เวลา เนื่องมาจากกล้ามเนื้อหัวใจหดตัว เรียกการทำงานนี้ว่า การเต้นของหัวใจ (heart beat or contraction of heart) หัวใจจะเริ่มเต้นตั้งแต่ยังอยู่ในครรภ์ของมารดาไปจนกระทั่งสิ้นชีวิต
การเต้นของหัวใจประกอบด้วยขั้นตอน 2 ขั้นตอนคือ ขั้นตอนการบีบตัว เรียกว่า systole และขั้นตอนการคลายตัวหรือพองตัว เรียกว่า diastole
3. อัตราการเต้นของหัวใจ (heart rate)
อัตราการ เต้นของหัวใจมีผลมาจากสิ่งต่างๆ เช่น
- การเปลี่ยนแปลงเมแทบอลิซึมในร่างกาย
- เพศ เพศหญิงหัวใจเต้นเร็วกว่าเพศชาย
- อิริยาบถของร่างกาย เช่น นั่ง ยืน วิ่ง เป็นต้น
- การเจ็บป่วยจากโรคและการบาดเจ็บ
- ขนาดของร่างกาย ร่างกายมีขนาดเล็กอัตราการเต้นของหัวใจจะเร็ว ร่างกายมีขนาดใหญ่อัตราการเต้นของหัวใจจะช้า
มนุษย์ในวัยต่างๆ รวมทั้งสัตว์ต่างชนิดกันจะมีอัตราการเต้นของหัวใจไม่เท่ากันเช่น
- ทารกในครรภ์ 140 ครั้ง/นาที
- เด็กโต 100 ครั้ง/นาที
- วัยรุ่น 80 ครั้ง/นาที
- ผู้ใหญ่ 75 ครั้ง/นาที
- วัยชรา 75-80 ครั้ง/นาที
- หนู 700 ครั้ง/นาที
- กระต่าย 150 ครั้ง/นาที
- สุนัข 100-120 ครั้ง/นาที
- เต่า 56-60 ครั้ง/นาที
- ช้าง 25-28 ครั้ง/นาที
เส้นเลือด (blood vessel)
ในร่างกายของสิ่งมีชีวิตระบบหมุนเวียนโลหิตมีอยู่ 2 ระบบ คือ ระบบเส้นเลือดแดง (arterial system) และระบบเส้นเลือดดำ (venous system)
1. เส้นเลือดแดง (artery) เป็นเส้นเลือดที่นำเลือดดีออกจากหัวใจ เพื่อนำไปยังเซลล์ เนื้อเยื่อ อวัยวะต่างๆ ทั่วร่างกาย
2. เส้นเลือดดำ (vein) เป็นเส้นเลือดที่นำเลือดเสียเข้าสู่หัวใจ โดยเป็นเลือดที่มาจากส่วนต่างๆ ของร่างกาย
1. โครงสร้างของเส้นเลือด
โครงสร้างของเส้นเลือดดำและเส้นเลือดแดง (vein and artery) ประกอบด้วยเนื้อเยื่อ 3 ชั้น คือ
1.1 เนื้อเยื่อชั้นนอก (tunica externa)
ประกอบด้วยเนื้อเยื่อ (connective tissue) ที่เรียงตัวกันอย่างหลวมๆ ภายในเนื้อเยื่อมีท่อน้ำเหลืองและเส้นประสาท ทำให้เส้นเลือดเล็กลงและใหญ่ขึ้นได้ตามความต้องการของร่างกาย
1.2 เนื้อเยื่อชั้นกลาง (tunica media)
เป็นเนื้อเยื่อชั้นที่มีความหนามากที่สุด เป็น muscle layer ที่ประกอบด้วยกล้ามเนื้อเรียบ และเนื้อเยื่อเกี่ยวพันประเภท elastic tissue และมี collagen fiber ทำให้มีความเหนียวและแข็งแรง ในเส้นเลือดแดงจะมีเนื้อเยื่อชั้นกลางหนากว่าเส้นเลือดดำ
1.3 เนื้อเยื่อชั้นใน (tunica interna)
เนื้อเยื่อชั้นในสุดประกอบด้วยเนื้อเยื่อ endothelium และเนื้อเยื่อเกี่ยวพันพวก elastic tissue ช่วยเพิ่มความแข็งแรง
โครงสร้างของเส้นเลือดดำและเส้นเลือดแดงที่มีขนาดเท่ากันจะมีความแตกต่างกันคือ
- เส้นเลือดดำมีผนังบางกว่าเส้นเลือดแดง
- เส้นเลือดดำมีช่องว่างภายในมากกว่าเส้นเลือดแดง
- สีของเส้นเลือดดำจะมีสีคล้ำกว่าเส้นเลือดแดง
เส้นเลือดดำจะเริ่มต้นที่เส้นเลือดฝอยแล้วก็ใหญ่จนถึงหัวใจจะมีขนาดใหญ่สุด
เส้นเลือดแดงจะเริ่มต้นที่เส้นเลือดขนาดใหญ่ที่สุดแล้วค่อยๆ ลดขนาดลงจนเป็นเส้นเลือดฝอย
2. การไหลของเลือด (bloodflow)
วิลเลียม ฮาวี นายแพทย์ชาวอังกฤษได้สรุปไว้ว่า "เลือดจะถูกดันออกจากหัวใจไปทั่วร่างกาย แล้วก็จะไหลกลับเข้าหัวใจอีก" การไหลของเลือดจะเป็นไปในทางเดียวกันหมด ไม่มีการย้อนทิศทางกันเลย แรงดันที่ทำให้เลือดไหลไปตามเส้นเลือดได้นั้นเริ่มต้นมาจากหัวใจ ซึ่งเปรียบเสมือนเครื่องสูบ และจะต้องมีกำลังแรงพอที่จะดันเลือดให้ไหลไปตามเส้นเลือดได้ติดต่อกันเป็นระยะๆ เรื่อยไป โดยเลือดไหลผ่านหัวใจประมาณนาทีละ 5 ลิตร
การไหลของเลือดมี 2 วงจรคือ
- pulmonary circulation
เป็นวงจรที่เลือดเสียจากหัวใจห้องล่างขวาเดินทางไปยังปอดด้านซ้ายและปอดด้านขวาไปฟอก หรือเพื่อรับออกซิเจนและคายคาร์บอนไดออกไซด์ แล้วเดินทางจากปอดกลับมาที่หัวใจห้องบนด้านซ้าย หรือเขียนเป็นผังได้ดังนี้
right ventricle --> lung (right and left) --> left auricle
- systemic circulation
เป็นวงจรของเลือดดีจากหัวใจห้องด้านล่างซ้ายไปเลี้ยงเซลล์ เนื้อเยื่อ และอวัยวะต่างๆ ทั่วร่างกาย และกลายเป็นเลือดเสียเดินทางกลับสู่หัวใจทางห้องบนด้านขวา
3. การวัดความดันโลหิต
การวัดความดันโลหิตทำได้โดยใช้เครื่องมือที่เรียกว่า sphygmomanometer หรือมาตรวัดความดันเลือด ค่าความดันเลือด มีหน่วยเป็น มิลลิเมตรของปรอท
ความดันเลือดปกติของคนที่โตเต็มที่มีค่าประมาณ 120/80 มิลลิเมตรของปรอท